Slot Machine : เหนือกาลเวลา

*_*

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ละชั่ว ทำเพื่อตัวของเราคนเดียว


ละชั่ว ทำเพื่อตัวของเราคนเดียว (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


ความชั่วมีหลายด้านหลายทาง
แต่มันก็อยู่ในตัวของเรานี่แหละ
เกิดจากตัวของเรา มีที่ตัวของเรา
ปรากฏขึ้นที่ตัวของเรานี่เอง

เช่น เราทำชั่วโดยการลักขโมย ฉ้อโกงหรือคิดอิจฉาริษยา ประหัตประหารคนโน้น อยากฆ่าอยากตีคนนี้ นี่เป็นความชั่ว

คนที่ไม่รู้จักความชั่ว เมื่อได้ประหัตประหารคนอื่น สำคัญว่าเป็นของดี ถือว่าตนมีอำนาจอิทธิพลเหนือคนหรือเหนือสัตว์อื่นๆ อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักของดีของชั่ว ผู้นั้นยากที่จะละความชั่วได้ เพราะเห็นของชั่วกลับเป็นของดี

การละทิฏฐิมานะก็เข้าใจว่าเป็นของเลว ไม่อยากยอมให้ใคร

มานะ คือ ความแข็งกระด้าง
ทิฏฐิ คือ ความดื้อรั้น ไม่ยอมคนอื่น

ถ้ายอมก็กลัวจะเสียรัด เสียเปรียบ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเพราะ มีโมหะอวิชชาอยู่
ผู้ที่ละมานะทิฏฐิ โดยไม่เห็นว่าการละเช่นนั้น เป็นการน้อยหน้าต่ำตาหรือโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร
ผู้นั้นมีความเห็นถูกต้องไม่หลง

เพราะการละทิฏฐิมานะเรา
ไม่ต้องอาศัยคนอื่น
ไม่มุ่งถึงคนอื่น
เรามุ่งในตัวของเราเอง
มานะ อาสวะและกิเลสทั้งหลาย เกิดขึ้นที่ตัวของเรา
มันทำให้เดือดร้อนวุ่นวาย
เราไม่ได้ละเพื่อคนอื่น
เราละเพื่อตัวของเราคนเดียว

เพราะความเดือดร้อนเกิดขึ้นที่ตัวของเราต่างหาก เราเห็นโทษแล้วจึงละ คนอื่นจะชมว่าดีหรือชั่วก็เรื่องของเขาต่างหาก เขาจะว่าเราโง่เง่าเต่าตุ่นไม่มีปัญญาสามารถนั่นก็เรื่องของเขาต่างหาก ส่วนเราเห็นโทษแล้วว่ามันไหม้เผาผลาญอยู่ในใจของเรา เราจึงละของเราเอง ผู้เห็นอย่างนี้จึงจะละได้และไม่ต้องรอให้คนอื่นละหมดแล้วเราจึงค่อยละ

เรื่องกิเลสคือความชั่วทั้งปวงท่านผู้ดีทั้งหลายท่านทิ้งแล้วจึงค่อยหนีจาก โลกอันนี้ คล้ายๆกับว่าของชั่วเลวทรามต่างๆ ท่านผู้ดีวิเศษ ผู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเห็นโทษเห็นเป็นของสกปรกน่าเกลียด เห็นเป็นของเลวทรามจึงสละปล่อยทิ้งทั้งหมด แล้วจึงค่อยหนีจากโลกนี้

แต่เราปุถุชนคนหนานี่ซิ กิเลสหุ้มห่อปัญญา กลับเห็นเป็นของดิบของดี พากันแย่งชิงกันทุกหนทุกแห่งเพื่อเอาของเหล่านี้ การแย่งชิงของชั่วจึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนวุ่นวายคนทั้งหลายในโลกจึงเป็น ทุกข์

ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเห็นเป็นของไม่ดี ละทิ้งหมดปล่อยวางหมด ท่านอยู่ที่ไหนก็สุขสบาย จะเป็นหมู่คณะหรืออยู่คนเดียวก็เป็นสุขสบาย ไม่มีการกระทบกระเทือน

: เพียรละความชั่ว วัดหินหมากเป้ง พ.ศ. ๒๕๑๕
: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

การอยู่ร่วมกันในสังคม



ภัยใกล้ตัวที่อย่ามองข้าม ลวนลามบนรถเมล์


เมื่อเร็วนี้ ๆ ทางทีมงานโต๊ะข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีท่านหนึ่ง โดยได้เล่าถึงพฤติกรรมอุบาทว์ของชายโรคจิตบนรถเมล์โดยสาร ขสมก.สาย 75 (แดงคาดขาว) วิ่งระหว่าง วัดพุทธ-หัวลำโพง ว่าวันหนึ่งพลเมืองดีท่านนี้กำลังขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน ขณะที่เตรียมก้าวขาขึ้นรถเมล์คันดังกล่าว พบผู้ชายอายุประมาณ 30-35 ปี อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลน ก่อนชนคนแจ้งเบาะแสด้วยท่าทางเหมือนคนทำผิดอะไรมาสักอย่างแล้ววิ่งหลบหนีหายไปในที่สุด

จากนั้นผู้แจ้งเหตุได้ขึ้นรถเมล์ไปพบเด็กสาวนักเรียนชั้นมัธยมปลายแห่งหนึ่งอยู่ในอาการเศร้าโศก ก้มหน้าร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุ จนกระทั่งมีหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งสอบถามกับเด็กสาวถึงสาเหตุทำไมต้องร้องไห้ เด็กสาวที่อยู่ในอาการเสียใจยอมเปิดปากด้วยน้ำเสียงสั่นคลอว่า ถูกชายโรคจิตคนหนึ่งที่นั่งรถเมล์โดยสารมาด้วยกันลวนลาม เด็กสาวบอกอีกว่าตอนแรกที่นั่งอยู่ไม่รู้สึกเอะใจอะไร จนรถแล่นไปเรื่อยๆ ชายโรคจิตเริ่มที่ท่าเบียดเข้ามาใกล้เสียดสีบริเวณท่อนแขน แรกๆ เด็กสาวไม่รู้สึกอะไร พอนานไปเริ่มถี่ขึ้น จึงเริ่มสงสัยพฤติกรรมของชายโรคจิต แต่ไม่กล้าที่จะมองหน้าชายโรคจิตเพราะกลัวที่จะถูกทำร้าย สุดท้ายชายโรคจิตก็เริ่มลวนลามต่อทันที คราวนี้ถึงกับใช้มือล้วงเข้าไปในกระโปรงนักเรียน จนเด็กสาวถึงกับร้องไห้ ชายโรคจิตเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งลงจากรถแล้ววิ่งหนีหายไป

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีข้อน่าสังเกตว่าช่วงเวลาที่อยู่บนรถเมล์เป็นช่วงเย็น ที่สำคัญบนรถเมล์มีผู้คนอาศัยโดยสารอยู่จำนวนมาก จึงเป็นจุดล่อให้ชายโรคจิตก่อเหตุ ประกอบกับรถเมล์ที่เกิดเหตุเป็นรถฟรี มีผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้กระเป๋ารถเมล์ไม่สนใจผู้โดยสารที่ขึ้นมา หรือคอยเดินตรวจตราอยู่ภายในรถ

หากย้อนกลับไปดูข่าวสารเกี่ยวกับการลวนลามบนรถเมล์ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้นจะปรากฏเป็นข่าวน้อยมาก หรือมีเหตุมาจากเจ้าทุกข์ก็ไม่กล้าเข้าแจ้งความ เพราะกลัวความอับอายที่เกิดขึ้น ถ้าย้อนกลับดูข่าวลวนลามที่มีก็เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี่เองซึ่งดูน้อยมาก หากยังปล่อยให้คนโรคจิตประเภทนี้ลอยนวลอยู่

ลองแวะไปดูการสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ที่เคยทำวิจัยเอาไว้เกี่ยวกับความเห็นของผู้หญิงที่ใช้รถเมล์เกี่ยวกับกรณีการถูกลวนลามบนรถเมล์พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ร้อยละ 76.14 เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นภายหลังจากมีข่าวเพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง มีคนโรคจิตมากขึ้นและเดินทางจากที่ทำงานกลับถึงบ้านค่ำทุกวัน ขณะที่ร้อยละ 23.86 เท่าเดิม เพราะปกติคอยระมัดระวังตัวอยู่แล้ว เส้นทางที่ขึ้นมีคนมากไม่เปลี่ยว พยายามหาเพื่อนกลับทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามผู้หญิงส่วนใหญ่ร้อยละ75.65 ระบุว่าไม่เคยโดนลวนลามบนรถเมล์ แต่ร้อยละ 24.35 ระบุว่าเคยโดนลวนลาม โดยมายืนใกล้ๆ ชนหน้าอก มือมาโดนที่ก้น มองด้วยสายตาแปลกๆ

สำหรับความรู้สึกเมื่ออ่านข่าวผู้หญิงโดนลวนลามบนรถเมล์ ร้อยละ 29.54 ระบุว่า เพราะสังคมไทยเสื่อมลงทุกวัน จิตใจคนและพฤติกรรมต่างๆ แย่ลง ร้อยละ21.91 รู้สึกเห็นใจสงสารผู้ที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ร้อยละ 19.05 เห็นว่าตัวเราเองต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น ร้อยละ 19.01 ควรนำผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างเด็ดขาด และร้อยละ 10.49 พยายามหาเพื่อนกลับบ้านด้วย ไม่ขึ้นรถเมล์คนเดียว

“ข้อควรระวังภัยบนรถเมล์”

สาวคนไหนที่ต้องโดยสารรถเมล์เป็นประจำ ภัยอย่างหนึ่งที่ควรระวัง คือ การถูกลวนลาม วันนี้มีวิธีปฏิบัติเมื่อถูกลวนลามบนรถเมล์มาบอก...ถ้าคุณถูกผู้ชายใช้อวัยวะเพศถูไถ หรือกดลงบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สะโพก ต้นขา หรือสัมผัสโดยตรงที่หน้าอก หรืออวัยวะเพศ ทำให้คุณตกใจ โกรธ ขยะแขยง หรืออับอายจนทำอะไรไม่ถูก ควรปฏิบัติดังนี้

สิ่งแรกที่คุณควรทำ คือ รีบเดินหนีหรือเปลี่ยนที่ยืนเสียใหม่ จงใจให้ผู้อื่นเห็นว่าคุณพยายามหนี จากผู้ชายคนนั้นเพื่อให้คนอื่นๆ เอะใจ และอาจช่วยเหลือคุณ หรืออย่างน้อยก็เป็นการเตือนให้ผู้หญิงคนอื่นรู้ตัว และระวังตัวเองมากขึ้น และการทำเช่นนี้ยังทำให้ผู้ชายต้นเหตุต้องหยุดการกระทำของเขาลงด้วย

จากนั้นให้คุณพยายามจดจำหน้าตาของชายคนนั้นไว้ เพราะคนพวกนี้มักขึ้นรถเมล์หาเหยื่อในเส้นทางเดิมๆ คุณจะได้หาทางหลีกเลี่ยงได้ทัน ก่อนหากต้องเจอกันอีกครั้ง และถ้าเป็นไปได้ควรแจ้งตำรวจให้จับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ชายประเภทนี้มีความเบี่ยงเบนทางเพศ เพราะมีปมด้อยบางอย่าง ทำให้กลัว การมีสัมพันธ์ทางเพศแบบปกติกับผู้หญิง จึงต้องหาทางออกให้ตัวเองโดยการลวนลามผู้หญิงบนรถเมล์แทน

ดังนั้น นอกจากผู้ชายเหล่านี้จะต้องรับโทษทางกฎหมายแล้ว ยังสมควรได้รับการบำบัดรักษาจากจิตแพทย์ด้วยเพื่อจะได้ไม่ก่อปัญหา รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆ ก็อย่าลืมระมัดระวังตัวขณะโดยสารรถเมล์กันด้วย

เรื่องลวนลามบนรถเมล์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นภัยที่คุกคามที่เกิดขึ้นมานานแล้วดูทีท่าก็ไม่มีวันที่จะหมดลงไปได้ ฉะนั้นสาวๆ ไม่ควรมองข้ามทำตามข้อปฏิบัติที่เสนอแนะแล้วชีวิตช่วงเช้า-เย็น ก็จะแฮปปี้ไปตลอดวัน...

พระพุทธเจ้าเห็น...ไอน์สไตล์พบ


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่
หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า
“การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

วันนี้มาคุยกันเรื่อง “พุทธศาสนา” กับ “วิทยาศาสตร์” กันสักวันนะครับ
วันก่อนผมเห็นภาพ “เนบิวลาตาแมว” และ “ดาวทรงกลม” ซึ่งอยู่ไกลจากโลกถึง 25,000 ปีแสง
ที่นักดาราศาสตร์ถ่ายมาได้จากจักรวาลอันไกลโพ้น ด้วยกล้องถ่ายภาพทางอวกาศแบบใหม่
ก็ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” ของ ทันตแพทย์สม สุจีรา ขึ้นมาทันที

หนังสือเล่มนี้คุณหมอส่งมาให้ผมนานแล้ว ตั้งใจจะเขียนแนะนำให้ในคอลัมน์นี้
แต่เป็นหนังสือที่อ่านยาก ต้องใช้สมาธิอย่างมากจึงจะอ่านเข้าใจและสนุกตามไปด้วย จนถึงวันนี้ผมก็ยังอ่านไม่จบ

หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ค้นคว้าทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้า และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
นำมาเปรียบเทียบให้เห็น “ความจริงแท้” ที่เชื่อมโยงกัน
ระหว่างสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน กับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบในไม่กี่สิบกี่ร้อยปีมานี้

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เรื่อง “จักรวาล” และเรื่อง “ปรมาณู” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอธิบายมาก่อน
ถ้านักวิทยาศาสตร์นำบทสรุปของพระองค์ไปค้นคว้าต่อยอด
วันนี้ความใฝ่ฝันเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ข้ามดาราจักร ข้ามจักรวาล การหายตัวได้
แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปเลย

เมื่อกาลิเลโอค้นพบ “ทางช้างเผือก” เมื่อ 395 ปีก่อน หลังจากที่มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้ว
เห็นดาวนับล้านๆดวงในทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นเต้นกันใหญ่
เมื่อส่องกล้องออกไปนอกจักรวาล ก็พบแต่ความว่างเปล่า
กาลิเลโอจึงสรุปว่า ขอบจักรวาลก็คือขอบของทางช้างเผือกนั่นเอง

ทางช้างเผือกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง หมายความว่า ยานที่แล่นด้วยความเร็วเท่าแสง
คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 100,000 ปี ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหนไปหลับตานึกดูเอาเอง

แต่วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจักรวาลใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
นอกเหนือจากจักรวาลของเรา มีการคำนวณกันว่า
จักรวาลเหล่านี้อาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง คือ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 500 ตัว
ไปลองเขียนนับกันดูเป็นเท่าไร แต่ละจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์แตกต่างกันไป
จักรวาลของเราเป็นเพียงอณูเล็กๆในหมู่จักรวาลทั้งหมดเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ “พระพุทธเจ้า” ทรงค้นพบเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว
ทรงตรัสไว้ใน “จูฬนีสูตร” พระไตรปิฎก หน้า 215 เล่ม 20 ว่า

“ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน
ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็ก มีจำนวนนับพัน
ดาราจักรอย่างกลาง มีจำนวนนับล้าน
ดาราจักรอย่างใหญ่ มีจำนวนแสนโกฏิ
และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด”

ฟริตจอฟ คาปรา ผู้เขียนหนังสือ “เต๋าแห่งฟิสิกส์” บอกว่า ทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ
ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า
เมื่อเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม
เราพบว่า “อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาและไม่มีตัวตนที่แท้ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่
หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า

“การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนาเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

ถามว่า แล้วทำไม “พระพุทธเจ้า” จึงไม่ให้ความสำคัญกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้
คำตอบก็คือ ทรงเห็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น
ทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ “มรรค” ที่นำไปสู่การนิพพานนั่นเอง.


ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบคำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม
แต่ไอน์สไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา
อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนาอาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถาม
ที่เขากำลังพยายามค้นหาในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น
มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง "The Human Side"
ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion.
It should transcend personal God and avoid dogma and theology.
Covering both the natural and the spiritual,
it should be based on a religious sense arising from the experience of all things
natural and spiritual as a meaningful unity.
Buddhism answers this description.
If there is any religion that cound cope with modern scientific needs it would be Buddhism.
(Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน
และควรจะเว้นคำสอนของสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว)
และแบบเทววิทยา (คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่)
ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ
จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง
คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย
พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้...
ถ้ามีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพันธภาพ

คำพูดของไอน์สไตน์นั้น มีนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ
และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น
ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2,500 ปี


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่
หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า
“การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

วันนี้มาคุยกันเรื่อง “พุทธศาสนา” กับ “วิทยาศาสตร์” กันสักวันนะครับ
วันก่อนผมเห็นภาพ “เนบิวลาตาแมว” และ “ดาวทรงกลม” ซึ่งอยู่ไกลจากโลกถึง 25,000 ปีแสง
ที่นักดาราศาสตร์ถ่ายมาได้จากจักรวาลอันไกลโพ้น ด้วยกล้องถ่ายภาพทางอวกาศแบบใหม่
ก็ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” ของ ทันตแพทย์สม สุจีรา ขึ้นมาทันที

หนังสือเล่มนี้คุณหมอส่งมาให้ผมนานแล้ว ตั้งใจจะเขียนแนะนำให้ในคอลัมน์นี้
แต่เป็นหนังสือที่อ่านยาก ต้องใช้สมาธิอย่างมากจึงจะอ่านเข้าใจและสนุกตามไปด้วย จนถึงวันนี้ผมก็ยังอ่านไม่จบ

หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ค้นคว้าทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้า และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
นำมาเปรียบเทียบให้เห็น “ความจริงแท้” ที่เชื่อมโยงกัน
ระหว่างสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน กับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบในไม่กี่สิบกี่ร้อยปีมานี้

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เรื่อง “จักรวาล” และเรื่อง “ปรมาณู” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอธิบายมาก่อน
ถ้านักวิทยาศาสตร์นำบทสรุปของพระองค์ไปค้นคว้าต่อยอด
วันนี้ความใฝ่ฝันเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ข้ามดาราจักร ข้ามจักรวาล การหายตัวได้
แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปเลย

เมื่อกาลิเลโอค้นพบ “ทางช้างเผือก” เมื่อ 395 ปีก่อน หลังจากที่มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้ว
เห็นดาวนับล้านๆดวงในทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นเต้นกันใหญ่
เมื่อส่องกล้องออกไปนอกจักรวาล ก็พบแต่ความว่างเปล่า
กาลิเลโอจึงสรุปว่า ขอบจักรวาลก็คือขอบของทางช้างเผือกนั่นเอง

ทางช้างเผือกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง หมายความว่า ยานที่แล่นด้วยความเร็วเท่าแสง
คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 100,000 ปี ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหนไปหลับตานึกดูเอาเอง

แต่วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจักรวาลใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
นอกเหนือจากจักรวาลของเรา มีการคำนวณกันว่า
จักรวาลเหล่านี้อาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง คือ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 500 ตัว
ไปลองเขียนนับกันดูเป็นเท่าไร แต่ละจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์แตกต่างกันไป
จักรวาลของเราเป็นเพียงอณูเล็กๆในหมู่จักรวาลทั้งหมดเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ “พระพุทธเจ้า” ทรงค้นพบเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว
ทรงตรัสไว้ใน “จูฬนีสูตร” พระไตรปิฎก หน้า 215 เล่ม 20 ว่า

“ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน
ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็ก มีจำนวนนับพัน
ดาราจักรอย่างกลาง มีจำนวนนับล้าน
ดาราจักรอย่างใหญ่ มีจำนวนแสนโกฏิ
และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด”

ฟริตจอฟ คาปรา ผู้เขียนหนังสือ “เต๋าแห่งฟิสิกส์” บอกว่า ทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ
ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า
เมื่อเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม
เราพบว่า “อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาและไม่มีตัวตนที่แท้ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่
หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า

“การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนาเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

ถามว่า แล้วทำไม “พระพุทธเจ้า” จึงไม่ให้ความสำคัญกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้
คำตอบก็คือ ทรงเห็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น
ทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ “มรรค” ที่นำไปสู่การนิพพานนั่นเอง.


ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบคำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม
แต่ไอน์สไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา
อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนาอาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถาม
ที่เขากำลังพยายามค้นหาในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น
มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง "The Human Side"
ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion.
It should transcend personal God and avoid dogma and theology.
Covering both the natural and the spiritual,
it should be based on a religious sense arising from the experience of all things
natural and spiritual as a meaningful unity.
Buddhism answers this description.
If there is any religion that cound cope with modern scientific needs it would be Buddhism.
(Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน
และควรจะเว้นคำสอนของสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว)
และแบบเทววิทยา (คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่)
ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ
จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง
คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย
พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้...
ถ้ามีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพันธภาพ

คำพูดของไอน์สไตน์นั้น มีนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ
และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น
ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2,500 ปี

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ

2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดนอกจาก ปัญญา และความกล้าหาญ

3. เพื่อนใหม่ คือ ของขวัญที่ให้กับตนเอง ส่วนเพื่อนเก่า/มิตร คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า

4. ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา

5. พูดคำว่า ขอบคุณให้มากๆ

6. รักษา ความลับ ให้เป็น

7. ประเมินคุณค่าของการให้ อภัย ให้สูง

8. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี

9. หากล้มลงอย่ากลัวการลุกขึ้นใหม่

10. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

11. อย่างเถียงธุรกิจในลิฟต์

12. ใช้บัตรเครดิตเพื่อนความสุดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน

13. อย่างหยิ่งหากจะกล่าวว่าขอโทษ

14. อย่าอายหากจะบอกใครว่า ไม่รู้

15. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง

16. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป

17. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท

18. คนไม่รักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต

19. ยามทะเลาะกันผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่นสอนมาดี

20. จงอย่าให้จุดแข็งเอาชนะจุดอ่อน

21. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด

22. เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับความล้มเหลว

23. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น

24. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน

25. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆ ไปก็ผิดหมด

26. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด

27. ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ ต้องปีนบันไดสูง

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation)

การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation)

การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นการบรรเทาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทุกประเทศรวมทั้งไทยได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการนี้

สาระสำคัญของอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) คือการร่วมมือกันลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด โดยประเทศที่พัฒนาแล้วตามบัญชีชื่อต่อท้ายอนุสัญญาที่เรียกว่า Annex I Countries มีพันธกรณีดังกล่าว ส่วนประเทศไทยและประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณี

กลุ่มประเทศ Annex I มีพันธะกรณีที่จะต้องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่าการปลดปล่อยใน ค.ศ. 1990 ร้อยละ 5 ซึ่งประเทศในกลุ่ม Annex I มีข้อจำกัดในการดำเนินการดังกล่าวมาก เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การเพิ่ม GDP สัมพันธ์กับการใช้พลังงาน ส่งผลให้การปลดปล่อยการเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ประกอบกับการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศพัฒนาแล้ว มีค่าใช้จ่ายสูงจึงมีการแสวงหาทางออกของปัญหานี้ ด้วยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายนอกประเทศ โดยใช้ประเทศกำลังพัฒนาเป็นพื้นที่ดำเนินการ แล้วนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้กลับไปคิด credit ของประเทศนั้น

โครงการร่วมมือกันลดก๊าซเรือนกระจกได้แก่ Joint Implementation (JI) หรือ Clean Development Mechanism (CDM) เป็นต้น กิจกรรมของโครงการดังกล่าว เช่น การปลูกป่า การประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและการผลิต เป็นต้น

สรุปสถานการณ์การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยและการทำบัญชีประเมินการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ Non-Annex I ซึ่งไม่มีพันธะกรณีในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด นอกจากนี้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ทั้งในปริมาณการปลดปล่อยทั้งหมด และการปลดปล่อยต่อหัว

ถึงแม้ว่าในอนาคตการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยจะเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ GDP ซึ่งมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น และมีการเพิ่มของประชากร แต่ประเทศอื่น ๆ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และประชากรเช่นกัน สัดส่วนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยในอนาคตเมื่อเปรียบเทียบกับของโลกจึงควรอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับใน ค.ศ. 1990

ประเทศไทยใช้ทรัพยากรในด้านการประเมินก๊าซเรือนกระจกมาก โดยละเลยการศึกษาวิจัยด้านอื่นของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เช่น ด้านผลกระทบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อประเทศโดยตรง

ศักยภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย

ประเทศไทยมีศักยภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสาขาพลังงาน การกักเก็บในพื้นที่ป่าไม้ และการลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว การดำเนินการดังกล่าวมีกลุ่มประเทศ Annex I พร้อมทั้งมีทุนจากต่างประเทศ เช่น World Bank, Global Environmental Facility (GEF) สนับสนุนในการดำเนินการ แต่ประเทศไทยจะต้องพิจารณาให้รอบคอบในการดำเนินการโครงการร่วมมือกับต่างประเทศในด้านดังกล่าว เนื่องจากมีข้อจำกัดและรายละเอียดปลีกย่อยที่จำเป็นต้องศึกษาให้ชัดเจน


แคนตาลูป Cantaloupe



แคนตาลูป เป็นพืชตระกูลแตง เป็นผลไม้โบราณชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Cantaloupe ชื่อนี้มีที่มาจากการนำแตงพันธุ์นี้เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคนตาลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8 นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกผลไม้ลูกกลม ๆ รีๆ สีเหลืองนี้ว่า "แคนตาลูป" อังกฤษนำไปปลูกบ้าง เลยเรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศส ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var.cantalupensis แตงแคนตาลูปมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนอินดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปีแล้วมีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ, 2478 เมื่อก่อนเรียกว่า "แตงเทศ" หรือแตงฝรั่ง" ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงทำให้บางคนเรียกแตงแคนตาลูปว่า "แตงไทยฝรั่ง" แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้มีการพัฒนาการปลุกมาจนกระทั่งสามารถปลูกแตงแคนตาลูปได้ผลผลิตดีในปัจจุบันนี้

  • แหล่งปลูกแคนตาลูปอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปของเขาว่า "แตงคุณหนู" เพราะจะต้องคอยประคบประหงมดูแลกันตลอด 60 วัน ฤดูที่มีผลผลิตออกตลาดอยูในช่วงเดือนเมษายน แคนตาลูปเป็นพืชล้มลุก อยู่ในตระกูลเดียวกับแตงไทย ต้นมีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถาและก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน ดอกสีเหลืองเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 10-16 ซม. เปลือกนอกแข้ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกตามสีเนื้อได้ดังนี้
    • เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว ซึ่งเป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย ผลสุกเปลือกสีเขียวครีมเหลือง และเหลืองทอง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่มรสหวานและมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิว ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์ และวีนัสไฮบริด เป็นต้น
    • เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย ผลสุกเปลือกสีครีมและสีเหลือง เนื้อมีที้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รสหวานและมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรง ได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น
  • ผลแคนตาลูปยิ่งสุกกลิ่นยิ่งหอม รสชาติยิ่งหวานนำมากินเป็นผลไม้สด และทำเป็นน้ำผลไม้ การคัดเลือกแคนตาลูปที่สุกแล้วให้กินอร่อย ให้ชั่งน้ำหนักด้วยมือลูกหนึ่งควรจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัมเศษ ๆ จึงเรียกกว่ากำลังดี ลองเขย่าดูถ้ามีเสียงน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าส้มและสุกเกินไปกินไม่อร่อย แคนตาลูปที่แก่ได้ที่ต้องผิวสวย ตึง ไม่เหี่ยวเป็นร่องเป็นหยัก สีเหลืองเหมือนสีเปลือกไข่ไก่ถึอว่ากำลังดีคุณค่าอาหารและสรรพคุณ

    แคนตาลูป ประกอบด้วยน้ำตาล มีวิตามีนซีเล็กน้อย และวิตามินเอสูงมาก มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรงกระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสอมง ช่วยบรรเทาอาการอักเสนของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติ จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย น้ำแคนตาลุป ช่วยลดไข้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ส่วนน้ำตาลและเอนไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูปช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และอาการปั่นป่วนในกระเพาะอาหารเนื่องจากินอาหารผิดสำแดง

บีพีตัดท่อน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกสำเร็จแล้ว


วันศุกร์ ที่ 04 มิ.ย. 2553
สหรัฐ 4 มิ.ย. - บีพีประสบความสำเร็จในการตัดท่อน้ำมันที่มีรอยรั่วในอ่าวเม็กซิโกอีกครั้ง หลังปฏิบัติการครั้งแรกล้มเหลว เนื่องจากใบเลื่อยเข้าไปติดกับท่อ

โฆษกของบีพี เปิดเผยว่า บีพีได้เริ่มดำเนินการตัดท่อส่งน้ำมัน ตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา จนกระทั่งใบเลื่อยที่ใช้งานเกิดติดอยู่กับท่อ เมื่อช่วงเที่ยงวานนี้ หลังจากที่การตัดท่อน้ำมันดำเนินการไปแล้ว 45% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บีพีทำการงัดเลื่อยดังกล่าวออกจากท่อได้แล้ว และสามารถตัดท่อน้ำมันได้สำเร็จ ขั้นตอนต่อไปบีพีจะดูดถ่ายน้ำมันให้ลอยขึ้นไปบนผิวน้ำ เพื่อให้เรือทำการดักจับต่อไป

ก่อนหน้านี้ บีพีประสบความล้มเหลวในการดักจับน้ำมันด้วยโดมสกัดกั้นน้ำมัน ความสูง 40 ฟุต จากท่อน้ำมันที่อยู่ลึกลงไปใต้ทะเลราว 1 ไมล์ ขณะที่วิธีการอัดโคลนลงไปอุดรอยแตกของท่อน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Top kill ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน. - สำนักข่าวไทย